ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

วิวัฏฏะ

๑๘ เม.ย. ๒๕๕๓

 

วิวัฏฏะ

พระอาจารย์สงบ  มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๓

วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง .โพธาราม .ราชบุรี

 

            วันนี้มันงงนะ งงเหมือนกัน เมื่อวานก็งงใช่ไหม วันนี้ก็เหมือนกัน แต่วันนี้จะดีกว่าเมื่อวานเยอะ เมื่อวานเขาถามมา เวลาเขาศึกษาธรรมะไง แล้วนู่นก็ไม่ใช่นี่ก็ไม่ใช่ จิตไม่ใช่เรา อะไรก็ไม่ใช่เรา เราเลยบอกว่า ถ้าบอกว่ากิเลสไม่ใช่เราตั้งแต่ทีแรกนะ ก็ภาวนาไปเถอะอีก ๑๐๐ ชาติ  เราบอกว่า  ต้องบอกว่ากิเลสเป็นเราก่อน  เราถึงจะแก้มันได้ไง  

ถ้ากิเลสเป็นเรานี่ เราจะไม่เข้าใจอะไรเลย ฉะนั้นพอกิเลสไม่ใช่เรา เราก็ว่าเราเข้าใจไปหมดแล้ว เรารู้ทุกอย่าง รู้พร้อมหมดเลย พอรู้ไปแล้ว แล้วเป็นอย่างไรล่ะ พอรู้ ใหม่ๆ พอรู้แล้วมันก็ดี เห็นไหม ดีชั่วพักหนึ่ง เพราะเราเข้าใจ อะไรๆ มันก็ปล่อยวาง แต่กิเลสมันไม่ได้แก้ เดี๋ยวมันก็มาอีก อันนี้ก็เหมือนกัน

ถาม :  ขอกราบเรียนถามเรื่องนิพพานครับ เขาขึ้นเลยนะว่างง ถ้านิพพานคือการทำลายตัวตนจนหมดสิ้น แล้วเป็นอนัตตา

ตอบ : อันนี้เราค้านนะ แล้วเป็นอนัตตา

ถาม :  แล้วทำไมพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ถึงส่งพระโมคคัลลานะกลับมาโลกได้ครับ คือในพระสูตรมันขัดแย้งกัน เพราะเมื่อพระอรหันต์จะนิพพาน พระพุทธองค์จะทรงบอกให้แสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเราจะไม่ได้พบเธออีกแล้ว ทำไมพระโมคคัลลานะจึงเจอพระพุทธเจ้าองค์ก่อนที่ทรงนิพพพานไปแล้วครับ นี่คือปัญหานะ

ผมก็ทราบว่า  การพูดถึงนิพพานมันก็ยังห่างไกล เหมือนยาจกพูดถึงเงินหมื่นล้าน แต่เป้าหมายของผู้ปฏิบัติทุกคนก็คือนิพพาน บางทีปฏิบัติไปก็กลัวนิพพาน มันกลัวเอง เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย ใจมันก็อยากเชื่อพระพุทธเจ้าว่านิพพานเป็นที่สุดแห่งทุกข์ แต่พออ่านในพระสูตรที่ว่า เธอจงแสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปนี้เราจะไม่ได้พบเธออีก มันเหมือนว่าจะเป็นการดับสูญไปหมด แต่นั่นก็ไปเข้ากับ อุจเฉททิฐิอีก  หลวงพ่อเคยเทศน์ไว้ว่า พระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ หลวงปู่มั่นก็ยังอยู่ ถ้ายังอยู่ ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงตรัสไว้เช่นนั้นครับ ถ้ายังอยู่ ทำไมจึงพบกันอีกไม่ได้ครับ ขอความกรุณาหลวงพ่อตอบด้วย

ตอบ :  นี่ไง ว่าถ้ามันยังอยู่ทำไมไม่พบกันอีกล่ะ คำถามอย่างนี้นี่แปลว่า ขึ้นต้นเขาเขียนคำว่า  งง  แล้วก็ถามปัญหามาก็ งง  เพราะมัน งง  เพราะความไม่เข้าใจ เห็นไหม ปัญหามันงงตั้งแต่เริ่มต้น ว่านิพพานเป็นอนัตตานี่ เขาค้านกันไปแล้ว เพราะเขาบอกว่างง เพราะเขาเข้าใจเองว่านิพพานคือการทำลายตัวตนหมดสิ้นแล้วเป็นอนัตตา ถ้าเป็นอนัตตาก็เขาพูดไว้เอง ว่าถ้าดับสูญเป็นอุจเฉททิฐิ แล้วถ้ามีอยู่ก็เป็นสัสสตทิฐิ ทิฐิทั้ง ๒ ฝั่งนี้ พระพุทธเจ้าก็ปฏิเสธอยู่แล้ว

เวลาดับสูญไปอุจเฉททิฐินี่ก็ว่า บอกว่ามันไม่มี แล้วอนัตตามันคืออะไรล่ะ นี่มันก็ตกเข้าทิฐิ ๒ ทิฐินี้ อนัตตานี่ อนัตตามันมีอะไร ฉะนั้นนิพพานมันถึงไม่ใช่อนัตตาไง นิพพานคือนิพพานไง แล้วถ้ามีอยู่ก็เข้ากับทิฐิทั้ง ๒ นี้ นิพพานมีอยู่ก็คือมีอยู่ คำว่ามีอยู่ของเขา คำว่ามีอยู่ หมายถึงว่า หลวงพ่อเคยเทศน์ว่าพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ หลวงปู่มั่นก็ยังอยู่ นี่คำว่ายังอยู่ นิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง วิมุตติเป็นความสุขอย่างยิ่ง ถ้าความสุขอย่างยิ่งนี่พอไม่มีแล้ว  แล้วใครเป็นคนสุขล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานเห็นไหม มาเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน เห็นไหม มาเข้าฌาน ฌานนี่มันเป็นเรื่องโลก ฉะนั้นที่บอกว่า เธอจงแสดงธรรมเถิด เราจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว นี่แล้วคิดว่าอย่างไรล่ะ นี่ก็คิดไม่ออกไง แต่ถ้าเธอจงแสดงธรรมเถิด เราจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว อย่างพวกเรานี่ได้พบกันแน่นอน  เวลาตายไปแล้วนี่มันพบกันที่ไหน มันเป็นการพบกันเพราะมันเป็นผลของวัฏฏะ

คำว่าวัฏฏะนี่นะ พระพุทธเจ้าพอปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากับเทวทัตเป็นเพื่อน เป็นพ่อค้าด้วยกัน ไปขายทองคำ มันเป็นของเล่นไง ของเล่นขายเด็กไง ของเล่นเหมือนที่เราไปแลกกันสมัยโบราณเขาแลกกัน ทีนี้ไปถึงไปแลกนี่ เด็กคนนั้นคนยากคนจนเขาอยากได้แต่ไม่มีอะไรแลก เทวทัตก็ไปก่อน ไปเห็นใช่ไหม ผู้เฒ่า ยายน่ะ มี เชี่ยนหมากเป็นทองคำ แต่ตัวเองคงจะหลงลืมไป มันก็แบบว่าดูคร่ำคร่า ดูไม่ออกว่าจะเป็นทองคำ ก็บอกให้แลกกับของเล่น

เทวทัตเห็นเลยว่านี่ โอ้โฮมีค่ามาก แต่ด้วยความโลภ ก็บอกว่าของนี่ไม่มีค่า  อย่างพวกเราก็จะบอกว่าเป็นทองเหลือง  ก็ไม่มีค่าใช่ไหม โอ๋ย  ของยายไม่มีค่า คิดไว้ในใจว่าเดี๋ยวจะกลับมาเอา เพียงแต่ว่าพยายามจะกดราคา กดให้มันมีคุณค่าต่ำ พระพุทธเจ้ามาถึง เด็กก็มาร้องเหมือนกัน เด็กเขาก็จะมาแลกเปลี่ยนพวกของเล่นเหมือนกัน ยายแก่ก็บอกว่า ขอเอาของนี่แลกได้ไหม โอ้โฮ แลกไม่ได้หรอก เพราะของนี้มีค่ามากเกินไป เพราะของที่ถือมานี่ มันไม่มีค่าเท่ากับถาดทองคำนี้ จะมีค่ามากหรือน้อยไม่สำคัญตอนนี้ หลานร้องไห้ อยากให้หลานมีของเล่น แลกตามแต่ว่าพ่อค้านั้นจะให้กี่ชิ้นก็แล้วแต่ ขอแลกด้วยอันนี้

ถ้าจะแลกอย่างนั้นก็แลกได้หมดเลย ของที่เอามานี้ให้ได้หมดเลย เอาถาดนั้นกลับไป เทวทัตก็ไปแลกเปลี่ยนสินค้าอยู่ จะวกกลับมาเอาไง พอวกกลับมาถึงแล้ว มาเห็นบอกว่า มาถึงถามยายว่า ถาดนั้นไปไหนแล้วจะมาแลกไง ก็บอกว่า นี่เมื่อกี้พ่อค้าอีกคนหนึ่งเอาไปแล้ว ด้วยความผูกโกรธนะ โกรธมากเพราะตัวเองอยากได้ แล้วมาโดนตัดหน้าไป กำทรายขึ้นมาอธิษฐานไง จะจองล้างจองผลาญกันไปทุกภพทุกชาติ อธิษฐานเลยนะ กำทรายนี่ กำทรายขึ้นมาแล้วทรายไหลนี่ อธิษฐานเลยว่า เราจะจองล้างจองผลาญกันไปทุกภพทุกชาติ แล้วก็จะเกิดมาในทุกภพทุกชาติ  นี่คือที่มาของพระโพธิสัตว์ก็มาสร้างบารมี นี่ก็จะเป็นผู้ทำลายกันมาตลอด

พอเกิดตายเกิดตาย เราบอกว่านี่คือผลของวัฏฏะที่เราจะเจอกัน ก็เจอกันอย่างนี้ไง ถ้าเรายังมีกิเลสอยู่ เราจะไปเจอกันภพชาติใดภพชาติหนึ่ง เราจะหมุนเวียนไปในภพชาติใดภพชาติหนึ่ง แต่พระอรหันต์เห็นไหม พระอรหันต์พอสิ้นกิเลสแล้วนี่ เราจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว คำว่าไม่ได้พบกันอีกแล้วนี่ มันเป็นวิวัฏฏะ วัฏฏะคือวัฏวนใช่ไหม วิวัฏฏะคือทำลายออกไปจากวัฏฏะนี้ พอทำลายวัฏฏะนี้ พอออกไปแล้วนี่ เพราะคำถามว่า แล้วทำไมพระพุทธเจ้าบอกว่า เราจะไม่ได้พบเธออีกแล้ว ถ้าไม่ได้พบเธออีกแล้วนี่ มันไม่ใช่ดับสูญหรือ

นี่คือความเข้าใจเห็นไหม  เพราะคำถามบอกว่า งง ตั้งแต่เริ่มถามแล้ว ทีนี้คนตอบก็งง  เพราะมันไม่เข้าใจกันอยู่แล้ว เราคิดว่า คำว่าเจอกันจะเจอกันอย่างนี้ตลอดไปไง คำว่าเจอกันนั้นคือมันเจอกันในวัฏฏะ เจอกันในวัฏฏะคือการเกิดและการตาย เช่นการเกิดและการตาย พ่อแม่ลูกนี่เราจะผลัดเปลี่ยนกันเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันไป เห็นไหม เราเกิดมาเป็นลูก ถ้าเรามีครอบครัวไปเราก็จะเป็นแม่ แล้วพอลูกเราไปมีครอบครัว เราก็จะเป็นย่า นี่พอเป็นย่าไปพอตายไปถ้าจะมาเกิดอีก เราก็มาเกิดมาเป็นหลาน แล้วถ้ามันเวียนอย่างนี้ เห็นไหม ถ้ามันเกิดอีกนะ มันเกิดมันก็วนไป

นี่คือเราจะมาพบกันอีกในวัฏสงสาร  แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์นี่มันวิวัฏฏะ มันวิวัฏฏะ มันไม่เกิดในวัฏฏะแล้ว เราจะไม่ได้พบกันอีก จิตพวกนี้จะไม่ได้พบกันอีก
ไม่ได้มาพบอีกแล้ว แต่มันจะไปอยู่ในวิวัฏฏะ วิวัฏฏะก็คือมันไม่หมุนไง มันไม่มาอีกแล้วไง มันไปแล้วไง ฉะนั้นมันไปแล้วนี่ นี่คำถามว่า หลวงพ่อเคยเทศน์ไว้ว่า พระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ หลวงปู่มั่นก็ยังอยู่ ครูบาอาจารย์ก็ยังอยู่  แล้วนี่บอกว่าเราจะไม่พบกันอีกแล้ว

นี่ไงเพราะงง พอไปศึกษาในพระสูตร ศึกษาในอะไรต่างๆ เราก็งงไปด้วย พองงไปด้วยนี่เราก็ตีความ จับต้นชนปลายไม่ถูก พอจับต้นชนปลายไม่ถูก มันก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ใช่ไหม ฉะนั้นถึงบอกว่า ปริยัติ เวลาเรียนไปแล้วมันจะมีความขัดแย้งกันอย่างนี้ ขัดแย้งเพราะว่าเราไม่รู้ไง เริ่มต้นเห็นไหม นิพพานถ้ามันไม่มีตัวตน มันหมดสิ้นจากตัวตนแล้ว มันเป็นอนัตตา นี่คนพูดก็งงนะ แต่คนถามมันไม่รู้เรื่อง เพราะความเข้าใจของตัวเองว่าเป็นอนัตตาไง พอเป็นอนัตตา แล้วอนัตตามันคืออะไรล่ะ

แล้วที่ว่าทำไมพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง ส่งพระโมคคัลลานะ กลับมาโลกนี้  แล้วทำไมพระโมคคัลลานะถึงเจอพระพุทธเจ้า ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เขาเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ส่งกลับมา กับพระพุทธเจ้าในสมณโคดมนี้เป็นองค์เดียวกัน ทีนี้เห็นไหม ฉะนั้นพระพุทธเจ้าที่ส่ง นี่อยู่ในพระสูตรนะ อยู่ในพระสูตรว่า พระโมคคัลลานะหลงทิศ เหตุก็เพราะว่า พระโมคคัลลานะธุดงค์ไง แล้วมีโยมอยากจะถวายกาม แล้วพระโมคคัลลานะไม่ยอม ไม่ยอมอย่างไรก็ไม่ยอม สุดท้ายเขาก็พยายาม  พระโมคคัลลานะก็เลยหลุดปากไป หลุดปากไปว่ามันเน่ามันเหม็นน่ะว่าอย่างนั้นเถอะ มันก็เลยกลายเป็นหนอนน่ะไชออกมาในที่ต่างๆ

ทีนี้พอเขาทุกข์ยากมาก ก็จะช่วยเหลือเขาไง ตัวเองมีฤทธิ์ไม่พอ ทำไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของกรรม ไม่มีใครมีอำนาจเหนือกรรม ก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าบอกว่า อยากจะช่วยเหลือโยมคนนี้ อยากจะช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่า กรรมของเขาหนักมาก หนักขนาดไหน หนักยิ่งกว่าแผ่นดิน แผ่นดินเป็นอย่างไร ก็เลยเหาะออกไปดูไง
จะดูแผ่นดินว่าใหญ่โตขนาดไหนจะเทียบกับกรรม ไปเทียบกรรมเขาก็เทียบกับแผ่นดินนี้

ทีนี้ พอจะเหาะออกไป พระพุทธเจ้าก็สั่งไว้ เพราะฤทธิ์กับฤทธิ์มันรู้กัน เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งเอตทัคคะ เป็นผู้ตั้งพระโมคคัลลานะนี้เป็นเลิศ เป็นเอตทัคคะทางมีฤทธิ์ไง คนจะมีฤทธิ์ขนาดไหนนี้ พระพุทธเจ้ารู้หมดแล้ว แต่ฤทธิ์นั้นมันก็ยังมีกับพระโมคคัลลานะ ถ้าพูดไปนี่ยิ่งงงใหญ่นะ ยิ่งงงใหญ่ เพราะว่าพระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ แล้วทำไมพระพุทธเจ้าเตือนไว้ก่อน บอกไว้ก่อน แล้วพระโมคคัลลานะ ทำไมอยากดูอยากรู้ เหมือนกับคนไม่รู้ เหมือนกับคนสงสัยไง

พระอรหันต์ไม่มีความสงสัยในจิตของตัวเอง แต่นี่เรื่องของกรรม วาระกรรม พระพุทธเจ้าบอกว่ากรรมของเขาใหญ่มาก ใหญ่ขนาดไหนก็เลยเหาะออกไป พระพุทธเจ้าเตือนไว้ว่า ถ้าออกไปแล้วเห็นโลกนี้เท่ากับใบมะขาม พอออกไปข้างนอกนี่ ถ้ามองกลับมา เหมือนเราไปอวกาศเลยแหละ ถ้าเห็นโลกนี้เท่าใบมะขาม อย่าไปนะ อย่าไปอีก ให้จับไว้ กลัวหลุดไปไง ทีนี้พระโมคคัลลานะก็เหาะขึ้นไป ก็เหมือน  เหมือนกับ ยาน กระสวยอวกาศออกจากโลกไป พ้นจากแรงดึงดูดไปแล้ว

พอพ้นออกไปเห็นไหม พระพุทธเจ้าสั่งไว้เลยนะ ถ้าเห็นโลกนี้เล็กเท่าใบมะขาม เล็กขนาดนั้น อย่าไปอีก เพราะเห็นเป็นใบมะขามอยู่ เห็นเป็นจุดจุดเดียวมันยังกลับมาได้ใช่ไหม แต่พอเห็นเป็นใบมะขามก็อยากดูอีก ออกไปมันก็จากใหญ่ใช่ไหม เล็กลง เล็กลงเรื่อยๆ เหาะไป เหาะไปเรื่อยๆ หลุดไปเลย พอหลุดไปแล้ว เพราะตัวเองยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันใช่ไหม ไปด้วยฤทธิ์นะ นี่ไปด้วยฤทธิ์ ไปด้วยโลก

แต่เวลาไปนรก สวรรค์น่ะ มันไปด้วยอะไร เวลาพระโมคคัลลานะไปสวรรค์นี่ เห็นไหม ไปสวรรค์ ไปพรหมนี่เห็นไหม ในนครราชคฤห์ ใครทำบุญมากขนาดไหน ตายไปแล้วไปเกิดที่ไหน  พระโมคคัลลานะไปเที่ยวเลย แล้วกลับมาบอกว่า บ้านนี้ คนตายคนนี้ไปอยู่สวรรค์ชั้นนั้น พระพุทธเจ้าพยากรณ์บอก ใช่ ใช่ เห็นไหม เวลาคนที่จะทำลายศาสนา ที่บอกว่าเผยแผ่ศาสนาพุทธนี้ยืนยงมั่นคงมาได้เพราะเหตุใด

ยืนยงมั่นคงมาได้เพราะว่าอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา พระสารีบุตรนี้เป็นผู้  เทศนาว่าการ เพื่อชักนำให้คนเข้ามาศึกษาธรรมะ พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มีเดช เห็นไหม สิ่งใดๆ ที่เป็นฤทธิ์เป็นเดชนะก็จะไปดูเรื่องของสิ่งนี้มา แล้วมาบอกพระพุทธเจ้าไง ว่าคนบ้านนี้ตายแล้วไปเกิดที่นั่น คนบ้านนี้ไปเกิดที่นั่น พระพุทธเจ้าบอก ใช่ ใช่ ใช่ ดังนั้นพวก พวกเดียรถีย์ เขาก็อยากจะทำลายศาสนา ถ้าจะทำลายศาสนาจะต้องทำลายกำลังของพระพุทธเจ้าก่อน การทำลายกำลังของพระพุทธเจ้าก่อน ทำลายใครก่อน คือฆ่าพระโมคคัลลานะไง ก็จ้างคนมาทุบตายนั่นล่ะ

ฉะนั้นเวลาหลงทิศไป หลงทิศนี่มันเป็นมิตินี้ มันเป็นโลกนี้ เหมือนกับมันเป็นจักรวาลนี้ มันเป็นเรื่องปัจจุบันไง แต่เวลาไปนรก สวรรค์นี่มันคนละมิติ มันข้ามพ้นมิติ แล้วเวลาจิตเรากลับมาสงบเป็นสากล นี้มันก็อีกอันหนึ่ง จะบอกว่าเวลาไปนรกสวรรค์ ไปพรหมได้หมดเลยนะ แต่ทำไมมาหลงโลกนี้ล่ะ ทำไมเหาะออกไปนี่แล้วหลุดออกไป ทำไมหลงได้ มันไม่หลงหรอก มันหลุดออกไป เห็นไหม เพราะมันยังอยู่ของมัน

ทีนี้พระพุทธเจ้ารู้ว่า เพราะในพระไตรปิฎก ในพระสูตร พระพุทธเจ้าบอกว่า นี่นะจักรวาล ดวงอาทิตย์มีอยู่ ๗ ดวง แล้วเราจะบอกว่าจักรวาล กาแล็กซี่ต่างๆ น่ะมันมีซ้อนกันอยู่ ทีนี้ทางวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ทีนี้พระโมคคัลลานะหลุดออกไป พอหลุดออกไปนี่ เราจะบอกว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่พระโมคคัลลานะไปเจอน่ะ ก็พระพุทธเจ้าปัจจุบันนั่นล่ะ ในสัมพุทเธ  เห็นไหม พระพุทธเจ้า ๑๐๐ องค์ ๑,๐๐๐ องค์นี่ จักรวาลนี้มันมีอยู่ เห็นไหม แล้วเวลาพระพุทธเจ้าส่องแสงออกมา พอไปถึงไปกราบพระพุทธเจ้าองค์นั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เราไม่ใช่สมณโคดม เธอจงกลับไปหาสมณโคดม แล้วพระพุทธเจ้ามีฤทธิ์มากก็ส่ง เพราะมีฤทธิ์ ฤทธิ์กับฤทธิ์มันถึงกันนะ ก็เอาลำแสงนี้ส่งกลับมา พอส่งกลับมานี่ พระโมคคัลลานะก็ตามแสงนั้นกลับมา กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า

ฉะนั้นคำถามบอกว่า แล้วทำไมพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งถึงส่งพระโมคคัลลานะกลับมาในโลกนี้ได้ครับ คือในพระสูตรมันขัดแย้งกัน  ในเมื่อพระอรหันต์จะนิพพานพระพุทธเจ้าให้แสดงธรรมครั้งสุดท้ายนี่ แล้วทำไมพระโมคคัลลานะถึงเจอพระพุทธเจ้าก่อนที่จะทรงนิพพาน ทำไมไปเจอพระพุทธเจ้า ก็คิดว่าไง คิดว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ส่งพระโมคคัลลานะกลับมา  คือเขาเข้าใจว่าพระพุทธเจ้ามีองค์เดียว

เข้าใจถูกนะ เข้าใจถูกอยู่ พระพุทธเจ้านี้มีองค์เดียว พระพุทธเจ้ามีหนึ่งไม่มีสอง แต่มีอยู่ในภพนั้น แต่พระพุทธเจ้าที่ส่งกลับมานี่ มันคนละภพกัน แต่เป็นพระพุทธเจ้า
ที่อยู่ในภพนั้น ส่งกลับมาหาพระพุทธเจ้าองค์นี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าองค์นี้ยังไม่นิพพาน นี่ไง ปัญหานี้ เดี๋ยวมันจะย้อนกลับมารัดคอเรา คนจะถามกลับมาอีกเยอะเลย  พอตอบไปแล้ว นี่มันจะเป็นประเด็นให้คนถามกลับมาอีกเยอะเลย

พระพุทธเจ้าองค์ที่ส่งกลับมา กับพระพุทธเจ้าสมณโคดม ในพระสูตรก็บอกไว้ชัดๆ นะ เวลาพระโมคคัลลานะไปกราบพระพุทธเจ้าองค์นั้น เพราะเห็นลำแสง พอหลุดออกไปแล้วก็เห็นแสง เห็นแสงก็พุ่งเข้านั่นเลย ก็นึกว่ากลับมาโลก ทีนี้พอกลับมาโลก มันก็กลับไปสู่โลกนั้นไง พอกลับไปสู่โลกนั้น พอไปกราบ พระพุทธเจ้าองค์นั้นบอกว่า เราไม่ใช่สมณโคดม แล้วพอปฏิสันถารเสร็จแล้ว เราจะส่งเธอกลับ จะส่งพระโมคคัลลานะกลับมาหาพระพุทธเจ้า คือกลับมาโลกนี้ไง

พอกลับมาโลกนี้ก็เหมือนกับแสงเลเซอร์เลย กำหนดแสงไปก่อน แล้วพระโมคคัลลานะก็เหาะตามแสงนั้นมา เหาะตามแสงนั้นมาก็กลับมาโลกนี้ พอกลับมาโลกนี้ มาเฝ้าพระพุทธเจ้า  เพราะอันนี้เราจะคิดว่า ในพระไตรปิฎก เห็นไหม พระอาทิตย์ ๗ ดวงนี่จะเผาโลก จะอะไรนี่ ไอ้นี่มันเป็นอนาคต ฉะนั้นเพียงแต่ตรงนี้พระพุทธเจ้าบอกไว้หมดแล้ว ทีนี้ ถ้าความเข้าใจว่า ทำไม ทำไมไปหมดเลย ทำไมไปเจอพระพุทธเจ้าก่อนจะนิพพาน ถ้านิพพานแล้วมันก็ไปอยู่ในวิวัฏฏะ

แต่ถ้ายังอยู่ในปัจจุบันนี้ มันก็ยังเป็นมนุษย์นี่เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน  คือมนุษย์ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะนี่สิ้นกิเลสหมด เป็นพระอรหันต์ สอุปาทิเสสนิพพาน คือพบกันที่นี่ พบกันที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ไง ยังเป็นมนุษย์อยู่ เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม ก็มาฟังเทศน์ที่มนุษย์ไง แล้วเวลาพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เห็นไหม อย่างที่ว่าพระจะมานิพพาน พระพุทธเจ้าบอกว่า เธอจงแสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้าย เธอแสดงธรรมเถิด แล้วเราจะไม่ได้พบกันอีก

เพราะคำว่าพบกันมันก็เป็นวัฏฏะ พบกันอีก ที่พบกันนี่พบกันโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ท่านรู้ เห็นไหม ท่านรู้ได้ อย่างเช่น เวลาพระตรัสรู้เร็ว พระมีกรรมมีการกระทำนั้นๆ ไปถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมพระองค์นั้นเป็นอย่างนั้น  เขาไม่ได้เป็นเฉพาะชาตินี้ ชาติที่แล้วท่านเคยทำอย่างนี้มาแล้ว เคยทำอย่างนี้มาแล้ว เคยทำอย่างนี้มาแล้ว เห็นไหม เพราะการทำอย่างนี้มาแล้ว มันถึง มันถึงเกิดทิฐิ เกิดความเห็น เกิดความเคยชิน เกิดพันธุกรรมทางจิตที่มาเป็นอย่างนี้

ถ้าเป็นอย่างนี้ ที่มันพบกัน เพราะเหตุนี้ เพราะมันมีที่มาที่ไป แต่พอสิ้นกิเลสแล้วมันจบนะ พอจบแล้วมันเป็นวิวัฏฏะ ถ้าเป็นวิวัฏฏะเห็นไหม มันพ้นไปจากวัฏฏะ พ้นไปจากการเกิดและการตาย การเกิดการตายในวัฏฏะ แต่เข้าไปอยู่โดยวิมุตติ  ไปอยู่ในที่หนึ่ง ในปริยัติก็บอกว่า วิมุตตินี้ก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง ใช่ วิมุตตินี้เป็นสมมุติอันหนึ่ง สมมุติกล่าวถึงที่นั้นที่สิ้นกิเลสไง มันเป็นสมมุติ

สมมุติเพราะว่าเราจะสื่อความหมายกันว่ามันเป็นสมมุติ แต่ความจริง พอมันเข้าใจตรงนั้นปั๊บนี่ มันก็จะมาเข้าใจเรื่องที่ว่าพระสูตรมันขัดแย้งกันหมด พระสูตรไม่ได้ขัดแย้งกัน พระพุทธเจ้าพูดถูกหมด อย่างเช่น พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ส่งพระพุทธเจ้ากลับมา ก็ถูก เป็นคนละองค์กัน ไม่ใช่ว่า เพราะความเข้าใจของเราเอง เห็นไหม นี่ไงที่บอกว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เพราะตัวเองมีทิฐิมานะ ตัวเองมีความเข้าใจได้แค่นี้ไง เข้าใจว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ไง คือว่าพระพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้าใช่ไหม ถ้าพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วที่พระพุทธเจ้าส่งมานี่ เพราะเราเข้าใจว่ามีพระพุทธเจ้าองค์เดียว

พระพุทธเจ้าองค์เดียวในวัฏฏะหนึ่ง ในภพหนึ่ง  ในโลกหนึ่ง เห็นไหม แต่ในโลกอื่นล่ะ ถ้าโลกอื่น เขาก็มีพระพุทธเจ้าของเขาเหมือนกัน ทีนี้ถ้าพระพุทธเจ้าของเขานี่ มันก็เป็นหนึ่งเหมือนกัน แล้วจิตเรามันเวียนตายเวียนเกิด  ถ้ารู้จริงแล้วเห็นเหมือนที่พระพุทธเจ้าพูดแล้วย้อนกลับมานะ มันจะซึ้งกว่านี้อีก ซึ้งถึงว่า เห็นไหม เวลามันมีกามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่พูดถึงในวัฏวนอันนี้ แต่ในความจริงอันนั้น เป็นอีกอันหนึ่ง

เราจะไม่พูดว่า เพราะไอ้ข่าวนี้ เราไม่มีเอกสารยืนยัน แต่ในทางวิชาการ เขาบอกว่าองค์การนาซ่านี่ เขารู้เขาเห็นของเขาเหมือนกันนะ แต่อันนี้มันเป็นความลับที่เขาไม่พูดกันออกมา ที่เขาเห็นว่า ไปเห็นจักรวาลอื่น เห็นพระอาทิตย์อื่น นี่ทางวิทยาศาสตร์เขาก็มีวี่แววของเขาอยู่เหมือนกัน แต่วี่แววอย่างนี้มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ ก็ต้องพิสูจน์กันไป
มาทีนี้เราจะพูดว่า ที่พูดว่าพระพุทธเจ้าแต่ละองค์นี่มันเป็นเรื่องโลกไง มันเป็น เรื่องกามภพ  รูปภพ อรูปภพ นี่เป็นเรื่องของภพชาติ แล้วมันยังมีไปอีก

ธรรมะมันอยู่ตรงนี้ไง ธรรมะเวลาพระพุทธเจ้าบอก เห็นไหม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พูดไว้พอเป็นแนวทางที่จะประพฤติปฏิบัติ แต่สิ่งใดที่มันไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม ใบไม้ในกำมือกับใบไม้ในป่า ความรู้เห็นของพระพุทธเจ้านี้มีมหาศาล ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้กว้างขวางมหาศาลเลย ธรรมที่ความรู้จริงนี่อีกมหาศาลเลย  แต่เวลาพูดกันนี่ พูดด้วยใบไม้ในกำมือ นี่หมายถึงว่า ใบไม้ในกำมือนี่หมายถึงอริยสัจ ว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วเวลาทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ของคนมีหลากหลาย เวลาทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าพูดถึงว่าประพฤติปฏิบัติได้จริงนะ

สิ่งที่ถามมานี่นะ คำถามยังขัดแย้ง คำถามยังงงเลย เพราะคำถามว่า ๑. นิพพานเป็นอนัตตา  นี่ก็ผิดแล้ว แล้วพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งส่งพระโมคคัลลานะกลับมายังโลก  นี่ถูก แต่พอถูกนะ นี่เขาก็ถูกของเขา แต่เราบอกว่ามันขัดแย้งกันในพระสูตร ทีนี้พระสูตรเพราะเรายึดเองว่าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันยังอยู่ แล้วพระโมคคัลลานะไปเจอพระพุทธเจ้า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะนิพพานได้อย่างไร

คำว่านิพพานนั่นก็เป็นอีกโลกหนึ่งหรือ ถ้าอีกโลกหนึ่งมันก็เป็นวัฏฏะ แต่ถ้ามันเป็นวิมุตติมันก็พ้นจากวัฏฏะไป เพราะเราไม่รู้จักวัฏฏะ วิวัฏฏะ ในวัฏฏะเรายังงงถึงการเกิดและการตาย ถ้าเรางงถึงการเกิดและการตายนี่ แล้วถ้าพูดถึงการไม่เกิดไม่ตายนี่เราจะรู้ไม่ได้เลย ถ้ารู้ไม่ได้เลยนี่ ในเมื่อพื้นฐานของความรู้เรามีแค่นี้ใช่ไหม เราถึงได้บอกว่า ทำไมพระโมคคัลลานะถึงไปเจอพระพุทธเจ้าก่อน  เจอพระพุทธเจ้าก็ฟังพระพุทธเจ้า จนพระพุทธเจ้าสอนจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วก็ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ขนาดไปสวรรค์มา ไปพรหมมา ยังมารายงานพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา

แต่พระพุทธเจ้าไม่ต้องเจอพระพุทธเจ้าก่อน พระพุทธเจ้ามาเจออยู่ปัจจุบันอยู่แล้ว ขณะเจออยู่แล้วนี่ พระพุทธเจ้าเจออยู่ทุกวัน อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่ทุกวัน เวลาพระพุทธเจ้าใช้พระโมคคัลลานะ เวลาจะปราบพวกเดียรถีย์ หรือว่าเวลาจะปราบพวกที่มีทิฐิที่ไม่ลง หรือว่ามีความขัดแย้งนะ โมคคัลลานะเธอจงไป เธอจงไป สั่งพระโมคคัลลานะไปแสดงฤทธิ์แสดงเดช ปราบพวกเดียรถีย์ได้มหาศาล ถ้าปราบอย่างนั้น มันรู้จริงขนาดนี้ ทำไมเวลาพระพุทธเจ้าองค์ที่ส่งพระโมคคัลลานะกลับมา  ทำไมพระโมคคัลลานะจำพระพุทธเจ้าไม่ได้ล่ะ พระโมคคัลลานะอยู่กับพระพุทธเจ้าตลอดเวลา แล้วไปเจอพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งน่ะ ทำไมจำไม่ได้ เพราะมันคนละองค์ใช่ไหม มันไม่ใช่ว่าทำไมไปเจอพระพุทธเจ้าก่อนที่จะนิพพาน เพราะมาเจอคนละองค์ก็ส่งกลับมา

จะเอาแค่นี้พอ เพราะปัญหานี้คิดอยู่เหมือนกันว่าจะตอบหรือไม่ตอบ เพราะตอบไปแล้ว มันจะเป็นประเด็นย้อนกลับมาไง ย้อนกลับมาถามปัญหาต่อไป ถามปัญหาต่อไป ทีนี้ อันนี้จบ

แต่ประเด็นที่บอกว่า  ทำไมถึงบอกว่า เธอจงแสดงธรรมเถิด แล้วเราจะไม่ได้พบกันอีก อันนี้ก็งงอีก เห็นไหม เราจะไม่ได้พบกันอีก คำว่าพบกันอีกนี่นะ อย่างเช่นเราในปัจจุบันนี่ เราคุยกันเราเข้าใจกันได้ แต่เราไปเจอคนละชาตินี่ เราจะจำกันได้ไหม คำว่าพบกันอีกนี่ พบกันอีกในภพชาติปัจจุบันนี้อันหนึ่ง  เราจะไปพบกันอีกแต่คนละ  ภพชาตินี้  ภพชาติที่มันแล้วๆ กันไปนี่ เราจะไม่รู้อะไรเลย การไปพบกันอย่างนั้น เห็นไหม ดูสิ สายบุญสายกรรมนี่ เคยเกิดเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่นี่ผลัดเปลี่ยนกันนะ เกิดเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่นี่มันผลัดเปลี่ยนกัน เพราะเวลาผลัดเปลี่ยนกันหมายถึงว่า พ่อแม่ไปเกิดเป็นลูกก็ได้ ไปเกิดเป็นหลานก็ได้ ดูสิ ยายกั้ง เห็นไหม ที่ว่าไปเกิดในท้องหลาน แล้วไปบอกหลวงปู่มั่น พอหลวงปู่มั่นบอกว่าให้กำหนดจิตแล้วตัด พอตัดหลานก็แท้งเลย  อันนี้มันก็เป็นประเด็นขึ้นมา ๒ - ๓ ประเด็น

ประเด็น ๑ ยายกั้งยังไม่ตาย ไปเกิดได้อย่างไร  ๑. จิตหนึ่ง จิตปฏิสนธิ  ๒. การกำหนดอย่างนั้น มันไม่เป็นปาณาติปาตาหรือ  ไม่เป็นการฆ่าหรือ

เวลาเราถือศีลนะ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลเป็นความปกติของใจ ศีลเป็นพื้นฐานเป็นความปกติของใจ สมาธิ สมาธิคือจิตตั้งมั่น ปัญญา ปัญญาคือชำระกิเลส ฉะนั้นปัญญาชำระกิเลสนี่ ในเมื่อยายกั้งหรือว่าในนักปฏิบัติเรานี่ เราต้องการพ้นจากกิเลสใช่ไหม  เราจะไม่ต้องการเกิดอีกภพอีกชาติหนึ่ง อย่างเช่น ในชาติปัจจุบันนี่เรามีสติปัญญาพร้อมนะ ยิ่งเราได้ฟังธรรมนี่ เราฟังธรรมขึ้นมาแล้วนี่ เราจะตื่นกลัวเรื่องกิเลส ตื่นกลัวเรื่องที่เราต้องไปเผชิญภัย เผชิญทุกข์ เผชิญยาก

เราก็ผ่านการเผชิญทุกข์ เผชิญยากมาแล้ว อย่างเช่นการเกิดนี่ ทุกคนก็เกิดมาจากท้องของแม่ทั้งนั้น การเกิดมานี่แต่ละทีหนึ่ง มันทุกข์ยากแค่ไหน แล้วพ่อแม่จะเลี้ยงดูเรามาตลอดไป เราจะต้องไปเจอสภาพนั้นอีกไหม ทุกคนถ้าเกิดเจอสภาพนั้นแล้ว ใจมันก็ไม่อยากจะไปเจอสภาพนั้นอีก ทีนี้ในเมื่อไม่อยากเจอสภาพนั้นอีก มันก็ต้องอยากจะพ้นไปจากชาตินี้ ถ้าชาตินี้มีปัญญาอยู่แล้ว มันก็ต้องเร่งภาวนาใช่ไหม คนภาวนาถ้ามีหลักมีเกณฑ์นะ ไม่อยากไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม

เพราะเวลาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาจะไปเสวยบุญกุศลของเขา เพราะเขาไปเสวยบนภพชาติของเทวดา อินทร์ พรหม  มันอิ่มทิพย์ตลอดเวลา มันมี ความสุขระดับหนึ่ง ความสุขเหมือนถ้าเราเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีนี่ ทุกอย่างมันจะมีมาเองนี่ เราจะมีความสุขไหม แต่เราจะกินจะอยู่เราต้องหาเงินหาทอง แล้วต้องไปแลกเปลี่ยนมา เราทุกข์ไหม นี่เวลาเทวดา อินทร์ พรหม เขาอยู่ในสภาพแบบนั้น  เขาถึงเพลินกับชีวิตไง เขาถึงไม่ค่อยสำนึกในชีวิตว่ามีคุณค่าแค่ไหน เขาจะอยู่จนหมดภพหมดชาติไปชาติๆ หนึ่ง

แต่ของเรานี่ เราเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงไม่อยากไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม อยากเกิดเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์นี่มันทุกข์มันยาก ทุกข์ยากตรงต้องทำมาหากิน ทุกข์ยากตรงที่ต้องอยู่ด้วยกัน การทุกข์ยากนี่มันจะบีบคั้นในหัวใจ มันจะตื่นตัว ถ้าตื่นตัวขึ้นมานี่มันจะพยายามจะพ้นจากทุกข์ยาก เห็นไหม ฉะนั้นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงจะไม่อยากไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ไม่อยากเกิดเป็นอะไรทั้งสิ้น อยากเกิดเป็นมนุษย์ คือถ้าจะชำระในปัจจุบันนี้ก็ยังชำระได้

ฉะนั้น ในเมื่อมีปัญญาขนาดนี้  เวลาจิตมันไปเกิดนี่ คำว่าไปเกิดนะ ธรรมดาของมนุษย์นี่ ธรรมดาของกฎหมาย ธรรมดาของ กฎ กติกานี่ เขาก็ตัดสินกันไปตามนั้น  แต่เวลามันมีเหตุขัดข้อง มันมีเหตุความจำเป็นขึ้นมา เห็นไหม อย่างเช่น อย่างเราฆ่าคนตายหรือเวลาเราทำให้คนเจ็บช้ำน้ำใจนี่ เราจะมีโทษ แต่เจ้าหน้าที่เห็นไหม เวลาโจรขโมยหรือเขาทำกันอย่างนั้น วิสามัญฆาตกรรม ฆาตกรรมนี่มันมีความผิด วิสามัญฆาตกรรมก็ผิด  เวลาวิสามัญฆาตกรรม ฆ่าคนนี่ผิดทั้งนั้นน่ะ แต่ศาลเขายกฟ้อง ศาลเขาเห็นว่านี่เป็นหน้าที่

ฉะนั้น ปัญญาที่ว่าจิตมันจะไปเกิดอีก เห็นไหม สิ่งที่จิตไปเกิด ยายกั้งนี่เวลาจิตมันไปเกิด กำหนดรู้นี่กำหนดรู้ด้วยอะไร รู้ด้วยจิตที่มันมีปัญญา พอจิตมันส่งออกรู้ว่านี่ ไปยึดภพชาติละ ก็ไปปรึกษาหลวงปู่มั่น ไปรายงานหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกว่า ถ้าให้ชาตินี้นะ ให้กำหนดจิตให้ดีแล้วตัด กำหนดจิตให้ดีให้ตัด เราจะบอกว่า โดยกฎกติกานี่ โดยสัจธรรม โดยข้อเท็จจริงนี่ ใครทำผิดก็คือผิด ใครทำถูกก็คือถูก แต่โดยความเป็นอยู่ของสังคมนี่ มันมีเหตุความจำเป็น เขาเรียกว่ามันมีแอคซิเดนท์ไง มันมีข้อแปลกแยก ไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่มีสิ่งใด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

อย่างเช่นการเกิดและการตายนี่ คนเราส่วนใหญ่แล้วเวลาตายไปแล้วนี่ จะไป ยมบาล ไปยมบาลแล้วเขาจะแบ่งแยกนะ คนนี้ทำความดี คนนี้ทำความชั่ว ต้องไปตัดสินกัน แต่ถ้าเทวทัตนี่ไม่ต้องไปหาพญายมเลย เทวทัตเวลาตายนี่ ตายดิบๆ ดูดลงนรกอเวจีไปเลย จิตตคฤหบดี  เห็นไหม ทำบุญมหาศาล จิตตคฤหบดีเป็นผู้ที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าตลอดเวลา  เวลาก่อนตายนี่ โอ้โฮ รถม้า เทียมม้านี่มันจะขึ้นสวรรค์ตลอดเวลา ไม่ต้องไปยมบาล ไม่ต้อง

ถ้าโดยทฤษฎี โดยวิทยาศาสตร์ โดยความถูกต้องนะ ทุกคนที่นั่งนี่นะตายปั๊บต้องไปพบยมบาลก่อน ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติเป็นพระอรหันต์แล้วนะ พอตายเสร็จแล้วต้องไปยมบาลก่อน ยมบาลตัดสินว่า พระคนนี้เป็นพระอรหันต์นะไปนิพพานได้ ไม่มีหรอก เพราะเวลามันสิ้นกิเลสแล้วมันจบกันที่นั่น พอสิ้นกิเลสนี่ ไม่มีแรงขับแล้ว ไม่มีสิทธิ์อย่างนี้  แต่โดยวัฏฏะเห็นไหม ผลของวัฏฏะกับวิวัฏฏะ ผลของวัฏฏะนี่มันเวียนตายเวียนเกิดมันหมุนไปตามวัฏฏะ แต่วัฏฏะนี้เห็นไหม ทุกคนเป็นคนโกง ทุกคนเห็นแก่ตัว ทุกคนหลอกตัวเองหมด ทุกคนบอกตัวเองเป็นคนดีหมด ทีนี้ทุกคนเวลาให้ตัดสินตัวเอง ทุกคนก็จะไปเกิดเป็นพรหมหมดน่ะสิ

มันเป็นไปไม่ได้  พอตายไปแล้วเห็นไหม เป็นสัมภเวสี  เสวยภพในโอปปาติกะ สัมภเวสีต่างๆ ก็ไปเกิดในภพชาตินั้น พอภพชาตินั้นไปแล้วไปพบยมบาล ยมบาลก็ตัดสิน ส่วนใหญ่แล้วนี่ลงนรกหมดน่ะ แล้วจะไปสวรรค์นี่ไปอย่างไร แต่ถ้าคุณงามความดีมันมีพร้อมนะ ไม่ต้องไปยมบาลนะ จิตตคฤหบดีนี่ไปสวรรค์เลย เทวทัตตกนรกเลย แล้วพระอริยบุคคลแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นมานี่ ต้องไปให้ยมบาลตัดสินไหม มันไม่ต้องไปตัดสิน

ฉะนั้นย้อนกลับมาที่ว่าเป็นประเด็น ๒ ประเด็น ประเด็น ๑. เรากำหนดจิตไปทำลายฆ่าสัตว์ตัวนั้นไหม มันไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัวนั้น  เพราะจิตเราถ้ามันตายนี่มันก็ไปเสวยภพนั้น เราตัดเองนี่ มันผิดศีลไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ ในเมื่อใจมันเป็นปกติ มันไม่ผิดศีลไง มันไม่ผิด แต่ถ้าเราจงใจฆ่าชีวิตอื่นเพื่อประโยชน์กับเรา  อันนั้นผิดศีล แล้วถ้าจิตมันยังไม่ตายล่ะ จิตยังไม่ตายแล้วมันไปเกิดได้อย่างไร ในเมื่อจิตหนึ่ง จิตนี้มันเกิดได้อันเดียว อันที่เกิดนี้มันเกิดไปได้ด้วยสายบุญสายกรรมน่ะสิ นี่ไง ที่ว่าเราเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก มันแตกต่างกันไป เราเกิดจริงๆ นะ ยิ่งทะนุถนอมเท่าไหร่ ความฝังใจ ความผูกพันของใจนั้นล่ะ

มันมีอยู่ในพระไตรปิฎก มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีนี้ตายก่อน ด้วยความที่สามีนี่รักภรรยามาก รักมากๆ เลย พอตายเสร็จแล้วนะ ก็มาเกิดเป็นสุนัขในบ้านนั้น แล้วมันยังจำของมันได้  ผู้หญิงเดินไปไหนนะ มันจะตามไปตลอด ชาวบ้านเขาล้อเลียนว่ามีสามีเป็นสุนัข เขาอายมากนะผู้หญิงนี้อายมาก ก็เดินลงน้ำ เดินไปที่แม่น้ำลงน้ำ สุนัขมันตามไปจับกดน้ำเลย กดน้ำตายเลย นี่อยู่ในพระไตรปิฎก ด้วยความรักนะ สุนัขมันก็ยังรักของมันอยู่ กลับมาเกิดเป็นตุ๊กแกอยู่ในบ้านนั้น คือมันต้องการอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนั้น นี้คนละภพคนละชาตินะ

ถ้าพูดถึงในปัจจุบันนะ ผู้หญิงคนนี้ก็ภพเดียว สามีภรรยาใช่ไหม สามีตายไปเกิดเป็นสุนัข ๒ ภพ จากสุนัขเกิดมาเป็นตุ๊กแก ๓ ภพ เขาเกิด ๓ รอบ ภรรยายังอยู่ชาติเดียว  นี่วัฏฏะที่ว่าเราจะไม่พบกันอีก นี่พบกันแบบนี้นะ สุนัขมันเป็นสุนัข สามีตายไปแล้วไม่เกี่ยวหรอก มันจิตหนึ่ง จิตหนึ่งไปเกิดจิตหนึ่ง แต่มันเกิดเป็นภพเป็นชาติมา   นี่พระพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก

แล้วอันนี้ก็อยู่ในพระไตรปิฎกเหมือนกัน แต่ถ้าเราปฏิบัติไปแล้วนะ เรามีเหตุมีผล เราเข้าใจของเราแล้วนะ เราจะเข้าใจถึงวัฏฏะและวิวัฏฏะ ฉะนั้นคำว่าวัฏฏะหรือวิวัฏฏะนี่ เราจะไม่พบกันอีกแล้ว นี่มันคนละวัฏฏะ มันเจอกันไม่ได้ มันเจอกันไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเจอกันไม่ได้จึงบอกว่าเราจะไม่พบกันอีก แต่ถ้าพบกันอีกนี่คือเรายังเวียนตายเวียนเกิด

ทีนี้การเวียนตายเวียนเกิด เห็นไหม แล้วเวลาปฏิบัติ เพราะหลวงตาท่านพูดอย่างนี้ หลวงตาท่านบอกว่า ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วยายกั้งนี่ภาวนาอยู่ ผู้เฒ่าผู้แก่นะ คนเรานี่นะไม่ใช่ไปเชื่อที่ว่าข่าวลือ แต่หลวงตานี้ท่านพิสูจน์ของท่านว่ายายกั้งนี่เป็นคนเฒ่าคนแก่นะ เขาอยู่ที่บ้านของเขานี่ เขาเอาเชือกผูกแล้วเดินจงกรมไง เดินจงกรมนะ เดินจนกระดานนี้เป็นร่องเลย เขาเดินของเขา เพราะเหตุใด เดินของเขาเพราะอะไร เพราะเขามีเป้าหมายไง

อย่างเช่นเราทำอะไรประสบความสำเร็จใช่ไหม จิตเรามีความสุขมาก ปัญญาเรากำลังหมุนเวียนมากนี่ เราต้องการพื้นฐาน การเดินจงกรมนั่งสมาธินี่ มันเป็นเหตุ เหมือนอย่างเช่นเราทำอาหาร เตาไฟเราอยู่นี่มันจะอุ่นอาหารไว้ อาหารนั้นจะไม่เสีย การเดินจงกรมนั่งสมาธินี่มันก็เหมือนกับตบะธรรม  ตบะธรรมนี่มันจะทำให้เกิดปัญญา เกิดปัญญาเกิดพลังจิต พลังจิตนะ สัมมาสมาธิแล้วเกิดปัญญานี่ มันจะหมุน..หมุนตลอดเวลา ฉะนั้น จะแก่จะเฒ่านะ มันไม่ได้มองที่อายุร่างกายแก่เฒ่า มันมองที่ปัญญาที่จะเกิด ผลที่จะเกิดนั้น

เอาเชือกผูกไว้ แล้วเดินจงกรม เดินจับเชือกไป เดินไปเดินกลับ แล้วสุดท้ายนะ หลวงปู่มั่นนิพพานไปก่อน แล้วยายกั้งนี่ยังมาเจอหลวงตา แล้วสุดท้ายหลวงตาออกมา ยายกั้งนี่ตาย เห็นบอกว่า กระดูกเป็นพระธาตุ กระดูกเป็นพระธาตุนี่มันต้องดูเหตุไง เหตุที่ยายกั้งทำอย่างนั้น แล้วอย่างเช่น หลวงปู่มั่นท่านสอน เห็นไหม บอกว่าให้กำหนดจิตนี่ ตัด ตัด ตัดไม่ให้ไปเกิดในท้องหลาน ถ้าไม่กำหนดจิตนี่  เขาหมดอายุขัย  คำว่าหมดอายุขัยนะ เด็กที่เริ่มปฏิสนธิแล้วนี่ เขาจะอยู่ได้อีกกี่วัน เขาต้องดับตรงนั้น เราไปที่นั่น เขาจะไปเกิดอีกชาติหนึ่ง พออีกชาติหนึ่งนี่ ถ้าเขาเป็นอริยภูมิอยู่แล้วนี่ เขาจะปฏิบัติต่อไป

แต่หลวงปู่มั่นบอกว่าให้กำหนดตัด พอตัดปั๊บนะ หลานก็แท้ง พอหลานก็แท้งนี่ เขาก็ยังอยู่ ชีวิตเขายังอยู่ต่อมา เห็นไหม พอชีวิตเขาอยู่ต่อมานี่ เขาประพฤติปฏิบัติต่อมา เขาก็ถึงที่สุด เห็นไหม แล้วเวลาที่ทางโลกติเตียนกันไง ติเตียนกันว่า

๑. ไม่ผิดศีลหรือ ผิดศีล เราก็ปฏิบัติมาจนสิ้นกิเลส กับไปตามศีล เพราะกลัวจะผิดศีลแล้วไม่ทำสิ่งใดเลยนะ  ให้มันเป็นผลของวัฏฏะไป ให้เป็นผลของบุญของกรรม ถ้าให้เป็นผลของบุญของกรรมนี่ เขาต้องดับ เขาต้องดับแล้วต้องไปเกิดอีก ศีลอันนั้นกับที่เราดำรงชีวิตจนเราสิ้นกิเลส อันไหนมีค่ากว่ากัน อันไหนเป็นประโยชน์กว่ากัน

๒ สิ่งที่ยังไม่ไปเกิดนั้นแล้วมันไปเกิดได้อย่างไร นี่สิ่งนี้ ดูสิยายกั้งยังไม่ตายแล้วไปเกิดในท้องของหลานได้อย่างไร มันก็เข้ามาตรงนี้ เข้ามาตรงที่ว่ามันจับก่อน เรื่องของความมหัศจรรย์ จิตนี้มันมหัศจรรย์มาก ประสาเรานะ ยังไม่ทันตายเลย มันไปจองที่ไว้ก่อนไง อย่างนี้เวลามีงานปิดทองลูกนิมิต จะกำหนดประมูลที่วันที่เท่าไหร่ๆ ไอ้นี้มันยังไม่ทันตาย มันไปจองที่ไว้ก่อน แล้วพอมันจองแล้วไม่เอา ไม่ไป ที่จองไว้นั้นไม่มีคนไปขาย ไม่มีคนไปทำ เห็นไหม แล้วมันผิดไหม

นี่จะบอกว่า ปัญญานะ เวลาปัญญามันเกิดแล้ว หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรานี่ บอกแล้วว่าถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ครูบาอาจารย์จะเข้าใจ เพราะเห็นผลของวัฏฏะ เพราะนี่คือผลของวัฏฏะ นี่คือจะเกิดจะพบกัน เราจะเจอะกันจะพบกัน เราจะเวียนตายในวัฏฏะ  เราถึงไม่ต้องจากลากัน แต่เพราะเราเกิดในผลของวัฏฏะ เราอยู่กับวัฏฏะ เราเกิดมานี่อยู่ในผลของวัฏฏะแล้วเราทำของเรามา สิ่งที่เราทำของเรามา มีความทุกข์ความยากของเรามาขนาดนี้ นี่คือผลของวัฏฏะ แล้วถ้าเราอยู่กับผลของวัฏฏะ เห็นไหม มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง แล้วเราอยู่กับผลในวัฏฏะนี่แล้วเราประพฤติปฏิบัติเพราะมีครูมีอาจารย์  แล้วเราเกิดปัญญาของเราขึ้นมา นี่เราจะทำลายวัฏฏะนี้เลย จากวัฏฏะออกไปวิวัฏฏะ พ้นออกไปจากวัฏฏะ พ้นออกไปจากความจริง ถ้าพ้นออกไปจากความจริงนี่ สิ่งนี้ต่างหากมันถึงเป็นคุณค่าไง

เราฟังมาเยอะนะ แต่ถ้าพูดไป ประสาเราว่า ครูบาอาจารย์ยังอยู่ แล้วเรายังเด็กเกินไป พอพูดออกไปก็บอกว่าจะพูดคำใหญ่คำโตไง เรื่องนี้ได้ยินมาเยอะมาก ว่า ๑. ผิดศีลหรือเปล่า ๒. ในเมื่อจิตยังไม่ตายจะไปเกิดได้อย่างไร เถียงกันมามาก นี่เพราะอะไร คนเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไปนี้ มันก็ต้องลงทุนลงแรงทั้งนั้น คนเราจะประพฤติปฏิบัติมันก็เหนื่อยยากทั้งนั้น เห็นไหม เหนื่อยยากแต่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด  อย่างนี้มันผิดศีล ผิดศีลมันผิดอะไร

ดูอย่างเนื้อสัตว์นี่เห็นไหม ถ้าคนเถรตรงจะบอกว่า ถ้ายังกินเนื้อสัตว์อยู่ อย่างน้อยเขาก็ฆ่า แล้วพูดถึงเขาจะฆ่ามาขายให้เราหรือ แล้วมันเป็นผลของวัฏฏะนะ เพราะในพระไตรปิฎก เห็นไหม มันมีควายตัวหนึ่งในพระไตรปิฎก เขาทุกข์ยากมาก เขารำพันนะ ก็เหมือนกับแบบแม่ชีแก้วเลย ที่เห็นควายจะตาย อันเดียวกันเลย แต่นี่อยู่ในพระไตรปิฎก นี่เป็นควายขึ้นมานะ มันรำพึงรำพันไง รำพึงรำพันกับครูบาอาจารย์ว่า เกิดเป็นสัตว์นี้แสนทุกข์แสนยาก มนุษย์กับสัตว์ต่างก็มีความเข้าใจเหมือนกัน สัตว์มันมีความเข้าใจว่า มันอยู่ใต้อำนาจของมนุษย์ มนุษย์เจ้าของนี้ดูแลอยู่ เอาอกเอาใจนะ ไถไร่ไถนานี่เอาใจตลอดเวลา แต่เวลาหิวนะก็ไม่ได้กินไม่ได้อยู่เหมือนดังใจ ถ้าเจ้าของเขาปล่อยเชือก เราถึงได้กินน้ำ ถ้าเขาดึงเชือกอยู่ก็กินน้ำไม่ได้ ทุกข์ยากมาก

ในความรู้สึกของสัตว์ อยากเป็นมนุษย์มากเลย เพราะมนุษย์มีกฎหมายบังคับบัญชา มีกฎหมายจะรังแกกันไม่ได้ อยากเกิดเป็นมนุษย์เพราะมีอิสรภาพ แต่ตัวเองอยากเกิดเป็นมนุษย์แต่เกิดไม่ได้ เพราะเป็นสัตว์ เอาอกเอาใจเจ้านายขนาดนี้แล้วเขายังฆ่า  พอถึงเวลาเขาต้องฆ่าเป็นอาหารของเขา มันก็มาเข้าในนิมิตของครูบาอาจารย์ เขาพูดอย่างนี้เลยนะ  เกิดเป็นมนุษย์ เขาทำบุญกุศลกัน ได้เสียสละก็ได้บุญได้กุศล แต่เกิดเป็นสัตว์นี่มันทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่มอง ฉะนั้นอยากทำบุญแต่ทำไม่ได้ สิทธิไม่มี นี่เขาจะฆ่าแล้ว เขาฆ่าตายละ พอเขาฆ่าตายนี่ เกิดเป็นสัตว์มันไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตัวเลย มันมีแต่เนื้อ ฉะนั้นเนื้อนี่ถ้าเขาฆ่าแล้วนะ ถ้าเขาเอาไปทำบุญ เขาเอาเนื้อนี่ไปทำบุญ  ก็ขอให้พระองค์นั้นได้ฉันเนื้อของเขาบ้าง เพราะการฉันนั้น เขาถือว่าเขาได้บุญ พอเขาได้บุญเขาจะได้ไปเกิดในสถานที่ที่ดีขึ้น นี่ไงแล้วบอกว่าฉันเนื้อสัตว์ ฉันเนื้อสัตว์น่ะผิด ผิดหมด

ถ้าพูดอย่างนี้ไปก็บอกว่า โอ๋ย สัตว์มันอยากให้เราฉันอีกน่ะ สัตว์ทุกตัวอยากให้เรากิน เพราะกูจะกิน ถ้ามีกิเลสอยู่ คิดอะไรลำเอียงทั้งนั้น ลำเอียงว่ามีเขามีเรา คือผลประโยชน์ไง ถ้าอะไรเป็นของที่ดี เราก็ว่าสิ่งนั้นเขาปรารถนาเพื่อเรา ถ้าอะไรไม่ดี บอกปฏิเสธว่าเราไม่เอา นี่มันลำเอียง ฉะนั้นพระเวลาภิกขาจารนี่  มันลำเอียงไม่ได้  เห็นไหม มันลำเอียงไม่ได้ แล้วแต่เขาจะให้ เขาจะใส่ทั้งนั้นน่ะ ไม่มีอะไร เห็นไหม 

เนื้อ ๓ ส่วน เขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเรา เราไม่เห็น เราไม่ได้ยิน เราไม่รับรู้ เขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเรา มันมีผลบุญผลกรรม เห็นไหมอย่างที่เขามาที่นี่กัน เวลาเขาขับรถมาที่นี่ หลวงพ่อขอทำบุญ ทำบุญอะไรน่ะ ขับรถชนหมาตาย ทุกคนขับรถชนหมาตายจะเศร้าใจมากนะ แต่เราไม่ได้คิดมุมกลับเลย  หมามันมาชนรถเราตายนะ หมามันมาชนรถเราตาย ก็กูขับมาเฉยๆ มันวิ่งมาชนกูเอง เราจะบอกว่ากรรมของสัตว์มันก็มี กรรมของเราก็มี มันมีร่วมกัน ถ้าไม่มีเรานะ ใช่เราขับมา เราปฏิเสธไม่ได้เราขับมา แต่มันก็วิ่งมาตัดหน้าโดยกะทันหัน โดยที่เรายับยั้งไม่ได้ กรรมมันร่วมกัน กรรมเขาก็มี แต่พวกเราทุกข์นะ เราจะบอกว่าเป็นเพราะเราคนเดียวไง ว่าเรานี่ขับรถชนหมาตาย แล้วรถมันก็เยอะแยะเลย ทำไมมันวิ่งมาชนแต่รถเรา รถอื่นทำไมมันไม่ชนวะ

ฉะนั้น กรณีอย่างนี้พอเวลาเกิดขึ้นมานี่ มันก็มีกรรมของเขามีกรรมของเราร่วมกัน เราจะบอกว่าเราไม่มีหรอก แต่ในเมื่อสิ่งนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นผลที่เราต้องเป็นไปนี่ มันมีเห็นไหม ทำไมต้องหายใจล่ะ หายใจกันนี่ จุลินทรีย์มันเข้าหมดทุกอย่าง เชื้อโรคมันเข้าไปหมดนะหายใจน่ะ มันก็เป็นสัตว์เหมือนกัน ถ้าจะเอาความสะอาดบริสุทธิ์เลยน่ะมันไม่มี ในโลกนี้มันจะเป็นอย่างนั้นไปไม่ได้หรอก ทีนี้เรามาอยู่แล้วนี่  ศีลบังคับไว้เพื่อไม่ให้เราทำตามใจตัว ไม่ให้เราล่วงเกินไง ล่วงเกินสิ่งที่มันหยาบช้า

แต่ในการที่ว่าเรากำหนดจิตตัดนี่ มันเป็นสิ่งที่ดีงาม ดีงามเพราะว่าจิตนี้มันจะได้เดินไปถึงมรรคถึงผล ถ้าไม่อย่างนั้นเราต้องไปเกิดอีกภพอีกชาติหนึ่ง ความดีงามนี่มันจะผิดพลาด มันจะมีผิดพลาดบ้าง มันก็ไม่เป็นไร มันมีความผิดพลาดบ้าง ความผิดพลาดเพื่อดีน่ะ ผิดพลาดเพื่อจะทำคุณงามความดี ผิดพลาดเพื่อประโยชน์ไง แต่ถ้าผิดพลาด ไอ้ผิดศีล ผิดศีลนั่นคือ

๑. จะโกงเขา จะเห็นแก่ตัว จะเบียดเบียนเขา นี่ผิดชัดๆ อันนี้มันเป็นเรื่องของตัวเราเอง แต่เราเองนี่กิเลสมันไม่พอใจ ถ้าเราทำคุณงามความดีเป็นแบบอย่าง กิเลสมันจะไม่พอใจ แต่ถ้าทำความชั่วนะ กิเลสมันบอกว่าถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง โอ้โฮ ถูก ดีงามเลย แต่ถ้าทำคุณงามความดีนี่ผิดไปหมดเลย เห็นไหม นี่ไงเพราะความไม่เข้าใจ แต่ถ้าทำความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว มันเป็นของของวิวัฏฏะ  วัฏฏะกับวิวัฏฏะ

ฉะนั้น สิ่งที่จะไม่ได้พบกันอีก ทำไมถึงจะไม่พบกันอีกล่ะ แล้วหลวงพ่อก็บอกว่าพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ หลวงปู่มั่นก็ยังอยู่ทำไมไม่พบกันอีกล่ะ  นี่ถ้าอย่างนี้เราก็ย้อนกลับมาอีกละ ที่เวลาประวัติหลวงปู่มั่น เห็นไหม พระพุทธเจ้ามาอนุโมทนานี่ เขาก็บอกอีกว่า นิพพานไปแล้วมันมาได้อย่างไร แล้วมีอยู่ มีอยู่แล้วมาได้อย่างไร นิพพานไปแล้ว ออกจากไปแล้ว แล้วเวลาหลวงปู่มั่นล่ะ

คำว่าหลวงปู่มั่นนี่นะ ท่านมีบุญญาธิการมาก ทีนี้พอมีบุญญาธิการมากนี่ สมัยนั้นมันยังมืดบอด โลกนี้ยังมืดบอดอยู่ เวลาหลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน พอจิตท่านผ่องแผ้ว จิตท่านชำระกิเลสจนสิ้น พระพุทธเจ้าหรือพระในสมัยพุทธกาลมาอนุโมทนา อนุโมทนาที่ไหน อนุโมทนาเพราะว่าหลวงปู่มั่นนี่จะเป็นธงชัย จะเป็นผู้ที่รื้อถอน จะเป็นคนสั่งสอน จะเป็นคนบุกเบิกไง ก็มาอนุโมทนา พออนุโมทนา อ้าวแล้วมาอนุโมทนาได้อย่างไรล่ะ

 กวฬิงการาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนเจตนาหาร มโนมิงปิ นิพพินทะติ ในเมื่อมโนฆ่าแล้ว นี่ไง นิพพานถึงไม่ใช่อนัตตาไง อนัตตาคือการกระทำ แต่สิ้นไปแล้วนี่ สิ้นทั้งหมดแล้ว แต่นี่อาหาร ๔ อาหารคือความสัมผัสทางชีวิตนะ อย่างมนุษย์นี่ กวฬิงการาหาร อาหารเป็นคำข้าว อาหารทุกภพทุกชาติมันเป็นสิ่งนี้ เทวดา วิญญาณาหาร พรหม ผัสสาหาร มโนเจตนาหาร ก็ตีกันว่ามโนคือความตั้งใจไง มโนก็คือใจ ถ้าใจมันไม่มีจะเอาอะไรไปตั้ง นิพพานมันไม่มีใจ นิพพานมันไม่มีอะไรเลย แต่มีธรรมธาตุ แล้วธรรมธาตุจะมาสื่อกับโลกสมมุตินี้ได้อย่างไร

โลกสมมุติอย่างเรานี้ พระอรหันต์เดินชนเราล้มเรายังไม่รู้จักพระอรหันต์นะ นี่เดินไปบนถนนพระอรหันต์ชนยังโกรธพระอรหันต์ พระอรหันต์มาชนกู ชนกูนะ เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ไม่เป็นพระอรหันต์ แล้วในเมื่อจิตใจเราไม่มีภูมิ ไม่มีความรู้นี่ เราจะเอาอะไรไปเป็นพระอรหันต์ แล้วพระอรหันต์ที่นิพพานจะมาอนุโมทนา รู้ได้อย่างไร พอจะอนุโมทนาเราก็วิ่งหนีก็นึกว่าผีหลอกอีก โอ๋ย วิ่งหางจุกตูดเลย ทั้งๆ ที่เขาจะอนุโมทนา  ตัวเองยังไม่เข้าใจเลย

แต่หลวงปู่มั่นเวลาจิตท่านสงบนะ ท่านมีสติสัมปชัญญะของท่านใช่ไหม เวลาท่านกำหนดจิต กำหนดที่ถ้ำสาริกานี่ เวลากำหนดจิต พิจารณาเวทนา เพราะมันเป็นความทุกข์ในร่างกาย เพราะท่านเป็นโรคท้องร่วง พิจารณาไป พิจารณาไปถึงที่สุด ขันธ์ดับ ทุกอย่างดับ โลกนี้ดับหมดเลย พอดับหมดจิตนี้มันรู้ เห็นไหม ดูสิ ที่มียักษ์มาหา ท่านไปเห็นได้อย่างไร ไม่ได้ตื่นเต้นเลย พอยักษ์จะเอากระบองมาตี ก็เทศน์สอนเลย

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันสงบ จิตมันรู้นี่ พอจิตมันเป็นไป จิตมันบรรลุธรรมขึ้นมา เวลาพระพุทธเจ้าอนุโมทนา  รู้ได้ เพราะสัมผัสได้ มโนมิงปิ นิพพินทะติ มโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ มโนเจตนาหาร มโนเจตนาหาร มโนมิงปิ นิพพินทะติ จิตมันเข้าสงบไง อย่างพวกเรานี่ไม่มีทางที่ใครจะมาหาได้หรอก มาเข้าฝันก็ตกใจนึกว่าผีหลอก แต่ถ้าคนมีหลักมีเกณฑ์นะ สิ่งนี้มาสัมผัสน่ะ มันรู้ทันที รู้ทันทีเลย เพราะอะไร เพราะจิตเราเป็น จิตเราเป็น จิตเรารู้นี่พอมันสัมผัสน่ะมันจะบอกตลอดเวลา พอบอกตลอดเวลานี่มันจะเข้ามาตลอด

ฉะนั้นสิ่งที่เข้ามานี่สัมผัสได้ ความที่ว่า ทำไมบอกว่ายังมีอยู่ มีอยู่แน่นอน แต่มีอยู่แบบนิพพาน ไม่ใช่มีอยู่แบบความเข้าใจนะ ถ้าบอกมีอยู่ เดี๋ยวคำถามมันจะกลับมาอีก แล้วคำถามนี้จะถามมาได้เพราะอะไร เพราะมันถามผ่านเว็บไซต์นี่ มันไม่เจอหน้ากันมันถึงกล้าถาม ใครที่สงสัยอะไรมันก็ถามกันมาตลอด แต่อันนี้จะพูดเพราะอะไร เพราะเขาบอกว่าหลวงพ่อพูดเอง หลวงพ่อเทศน์เอง เพราะเขาฟังเทศน์นั่นแหละ แล้วเขาก็ถามกลับมา

ก็ไหนหลวงพ่อเทศน์ไว้ว่า หลวงปู่มั่นก็ยังอยู่ พระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ ๑. อ่านในพระไตรปิฎก ๒. ฟังเทศน์แล้ว นี่เป็นเพราะเรามีอีโก้ มีอัตตาของเรา มีความรู้ของเรา มีกิเลสของเรา เราก็จะยิ่งงงของเรา

ฉะนั้นนี่คือปริยัติ ศึกษาแล้วนะ นี่ศึกษาธรรมะอย่างนี้ ถ้ามันซึ้งใจเข้าใจได้นี่ เราวางไว้ แล้วพุทโธ พุทโธ พุทโธให้จิตสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามา จิตเป็นสมาธิแล้วนี่ เมื่อวานเราพูดถึง ไม่รู้จักพุทโธ ถ้าไม่รู้จักพุทโธ ยังไม่รู้จักตัวเราเอง ถ้าไม่รู้จักตัวเราเอง มีสติสัมปชัญญะ เราเห็นภาพต่างๆ เห็นวิกฤติอะไรเกิดขึ้น เราจะตัดสินอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าเรามีพุทโธ เรามีสติปัญญาของเรา เราเจอสิ่งใดที่เกิดขึ้น เราจะวินิจฉัยได้ถูกต้อง ตามแต่เหตุว่าอะไรคืออะไร

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ อะไรเกิดขึ้นมาเราวินิจฉัยได้ เราแก้ไขได้ เราจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เราจะแก้ไขปัญหานั้น แต่ถ้าเราไม่มีพุทโธนี่ เห็นไหม ไม่มีพุทโธคือไม่มี ไม่มีความรู้สึกลึกๆ ในตัวของเรา เราเชื่อเขาไปหมดเลย ฟังอะไรก็เชื่อ ทั้งที่ธรรมะพระพุทธเจ้านี้นี่เป็นปริยัติ  การศึกษานี้เป็นศึกษาภาคปริยัติ พระพุทธเจ้าถึงบอก ปริยัติ แล้วปฏิบัติ ถึงปฏิเวธ

ปริยัตินี่ศึกษาแล้วรู้  รู้นี่มันเป็นการแบบว่าอย่างที่พูดนี่เห็นไหม เขาบอกว่า ถ้านิพพานเปรียบเหมือนยาจกพูดถึงเงินหมื่นล้าน ไอ้เงินหมื่นล้านนี่นะ เรายังเห็นเป็นหมื่นล้าน ยังนับเป็นจำนวนได้ ไอ้นี้มรรค ผล นิพพานนี่สิ เราจะรู้ได้อย่างไร เราจะเอาอะไรเป็นจำนวน เอาอะไรมานับ หมื่นล้านนี่ยังนับเป็นตัวเลขได้ ยังคำนวณได้ นิพพานมึงจะเอาอะไรมาคำนวณ ฉะนั้นถ้ายังจะคำนวณอยู่  ยังใช้ตรรกะอย่างนี้อยู่ ก็จะต้องใช้คำว่า งงนี้อยู่ต่อไป เพราะคำแรกก็ งง  คำถามก็ถาม งงๆ คนตอบยิ่งงงใหญ่ 

แล้วก็ตอบงงๆ ด้วยนะ เอวัง